วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

International ICT Volunteers 2014 - Siem Reap,Cambodia


          เป็นอีกครั้งที่ผมได้รับโอกาสดีๆจากพี่ๆ สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ International Telecommunication Union (ITU) จากโครงการ  NBTC ITU Volunteers 2014 (NIV2014) ที่ผมได้เคยเข้าร่วมไปแล้วครับ ซึ่งการเดินทางครั้งนี้จุดประสงค์หลักที่ให้ไปคือให้ไปดูงานกิจกรรมของอาสาสมัครเกาหลี  International ICT Volunteers 2014 (IIV2014) ระหว่างวันที่ 22 ถึง 24 สิงหาคม 2557  ที่จังหวัดเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา (มีพาไปเยี่ยมชมนครวัดด้วย อิอิ)

          การเดิมทางของผม ก็เดินทางจากสนามบินสนามบินหาดใหญ่ < (Thai smile)  > สนามบินสุวรรณภูมิ  <  (Bangkok Airways) >  สนามบินเสียมเรียบ-กัมพูชา รวมเวลาเดินทางประมาณ 3hr. (เลิกเรียนเสร็จก็รีบไปขึ้นเครื่องเลยฮะ 555) อ้อ กัมพูชาในเงินสกุลดอลล่าร์น่ะครับ แนะนำว่าแลกที่สนามบินไว้ก่อนเลยจะสะดวกมาก

Bangkok Airways Lounge.
ATR-72 Suvarnabhumi - Siem Reap Angkor



         พอลงเครื่องเสร็จ ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองมา ก็ออกมาได้เลยครับ แต่ก่อนออกมาตรงทางออก ก็จะมีบู๊ทจากค่ายมือถือหลายๆค่ายเลยครับ มาตั้งบู๊ทขาย SimCard โปรนี่ติดหน้าบู๊ทชนิดที่ว่าใครไม่ยอมใครกันเลยทีเดียว ซึ่งผมก็จัดมา Sim นึงของค่า qb จะบอกว่าแมร่งกากมาก ตอนใช้ที่สนามบินนี่ดีน่ะ พอออกมาอยากจะกราบบ สัญญาห่วยจริงๆ เน็ตก็ติดๆดับๆ ไปนครวัดก็ไม่มีคลื่นเลย สรุปจะอัพอะไรต้องพึ่ง WiFi โรงแรม เหอะๆ

Siem Reap Angkor Airport - Angkor Paradise Hotel - Angkor Wat

        แล้วพี่ๆก็มารับ ซึ่งจากสนามบินไปโรงแรมแปปเดียวเองครับ โดยโรงแรมที่จัดงานครั้งนี้คือ Angkor Paradise Hotel  มาถึงก็จัดการพักผ่อนเลย 5555  ก็ออกแว๊บๆไปหาของกินอะไรเล็กๆน้อยๆแถวหน้าโรมแรม ราคาก็ใช้ได้ครับ อาหารตามสั่งแถวๆนั้นประมาณ 2-4 ดอล ก็เลือกทานได้ตามสะดวก ถ้าถามว่าอร่อยไหม ก็เฉยๆน่ะ ><

Angkor Paradise Hotel
ตื่นมาเช้าๆ นั่งดูวิวริมระเบียง

       ก็มาถึงกิจกรรมกันบ้าง พิธีเปิดเป็นไปอย่างเรียบง่าย กล่าวต้อนรับโดยทางหน่วยงานรัฐบาลกัมพูชา National Institute of Posts,Telecommunications and Information Communication Technology (NIPTICT) ประมาณ กสทช.บ้านเรา แล้วก็จากทางฝั่งเราเอง International Telecommunication Union (ITU) โดยครั้งนี้ก็มีหน่วยงานรัฐบาลมาเลเซียมาดูด้วย บรรยากาศการเสนอแต่ล่ะทีมก็เหมือนกับโครงการ NIV2014 เราเลยครับ พูดเนื้อหาเกี่ยวกับไปทำอะไรมาบ้างตลอดระยะเวลาที่ลงพื้นที่ แล้วก็ทำวีดีโอให้ดูด้วย กลุ่มล่ะหนึ่งคลิป แต่ล่ะกลุ่มก็มีงานมากน้อยกันไปตามความสามารถ จะเล่าต่อก็ลืมแล้ว นานเกินน ==" จำได้ว่ามีเรื่องที่ชอบหลายๆเรื่องเลยในการนำเสนอ บางอย่างที่เขาทำมันดูน่าสนใจดี นึกขึ้นได้เรื่องนึงล่ะ เรื่องทำอาหาร รู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่เจ๋งดีแฮะ แต่อยากจะบอกว่ากลุ่มผมตอนไปอาสาฯที่เชียงใหม่ก็มีทำน่ะ เพื่อนในกลุ่มลุยทำอาหารเอง เป็นการขอบคุณเจ้าของบ้านที่ให้พวกเราไปพักกัน เพื่อนในกลุ่มก็ทำไป ส่วนผมรอกิน only (แลดูชั่วร้าย) 55555




       แต่ก็มีเซอร์ไพร้โดยที่ไม่รู้เรื่องเลยคือ ต้องพูดนำเสนอเล็กๆน้อยๆกับกิจกรรมที่ทำมา เอาล่ะเว้ยย งานเข้า ยิ่งโง่ๆอิ้งอยู่ด้วย น้ำตาจิไหล TT สุดท้ายก็พูดไม่ออกจริงๆ พูดผิดๆถูกๆ เอาปี๊บคุมหัวเลย =="

มากับกี้ เพื่อน NIV2014 อีกกลุ่มนึง 5555
กลุ่ม Togetter มาตัวคนเดียว เปล่าเปลี่ยวหัวใจ อิอิ


         จากนั้นตอนกลางคืนก็ได้เวลาไปแว๊นแล้ว อิอิ ก็ไป Angkor Night Market จากโรงแรมที่พักไปตลาดก็ไม่ไกลมากน่ะครับ (ตอนแรกไม่รู้หลอก แต่พี่เขาบอก) ก็เลยเลือกที่จะเดินไป เอาเข้าจริงไกลเหมือนกันเว้ย 55555 แต่ก็ดีตรงได้เดินดูเมือง ดูนั้นนู่นี่ตามใจชอบด้วยย อยากซื้ออะไรก็แวะดูได้

Angkor Night Market Street, Krong Siem Reap
          ก็เดินดูเรื่อยๆฮะ ไม่ค่อยมีอะไรมากน่ะ แต่เดินดูนั่นดูนี่ได้เรื่อยๆ ถ้าจะซื้ออะไรแนะนำว่าถามราคาหลายๆร้านเปรียบเทียบราคาเอาล่ะกันครับ ก็แม่ค้าเหมือนบ้านเรานี่แหล่ะ เห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติก็ขึ้นราคาสักนิด ระวังของแบรนเนมด้วย ถูกมากๆระวังของปลอมน่ะครับ  หลังจากเดินจนเหนื่อยก็แวะจิบเบียร์เย็นๆสักนิดให้หายเหนื่อย จากนั้นเดิมข้ามไปดูอีกฝั่งนึง ผมจำชื่อไม่ได้ล่ะ จะเป็นพวกรวมร้านขายของประติมากรรมทั้งหลาย เยอะมากก วาดรูปขายให้ดูสดๆเลยก็มีฮะ คนชอบศิลปะนี่คงโดนใจแน่ๆ

Magic Stick Ice Cream
PUB STREET

พี่ศลเลี้ยงอีกแล้วว
anchor 
soju is good. ขโมยรูปมาจากพี่ศล อิอิ

            ปิดท้ายคืนนี้ด้วยการแวะดูของฝาก สุดท้ายมาจบลงที่ soju ครับ ซื้อหิ้วกลับบ้านไปฝากเพื่อนๆหลายขวดเลย แต่ถึงแล้วจะเหลือกี่ขวดไปฝากนี่ค่อยว่ากัน 5555

            จากนั้นรุ่งขึ้น ก็ถึงคิวไปเที่ยวนครวัด (Angkor Wat) ล่ะฮับบบ (สิ่งมหัศจรรย์ อันดับ 7 ของโลก) โดยมีพี่ไกด์ พูดไทยได้บ้าง แต่อังกฤษซะส่วนใหญ่ นั่งรถตู้มารับถึงหน้าโรงแรมเลย เรานัดกันไปตอนตี 5 เพราะจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้น ก็ไปถึงก็พอดีเลยครับ กว่าขับรถไปถึง กว่าไปซื้อตั๋วเข้า กว่าเดินเข้าไป ก็พระอาทิตย์ขึ้นพอดี ราคาตั๋วเข้าไปชม (Aangkor Pass)  20$ ครับ จะมีการถ่ายรูปเราลงบัตรด้วย เก๋ไก๋ไฮโซเจงๆ

เช้าค่ำอยู่เลย แต่คนเยอะมากก
Aangkor Pass

พระอาทิย์จะขึ้นแล้ว



ความพิเศษของเสานี้คือ อักษรที่เขียนจะเป็นภาษาไทย แต่ผมอ่านออกไม่หมด ไกด์ถามใหญ่เลยอ่านว่าอะไร 555






เที่ยงแล้ว ออกมาหาอะไรทาน

         หลังจากเดินทั้งวันช่วงเช้าแล้วก็ออกมาทานอาหารเที่ยง เมื่อทานเสร็จก็ไปต่อกันที่ ปราสาทตาพรหม (Ta Prohm) มีต้นไม้สูงเยอะมาก งอกมาจากปราสาท ไม่ค่อยร้อนแฮะ เดินได้สบายชิวๆครับ

ปราสาทตาพรหม (Ta Prohm)



          จากนั้นก็ไปต่อกันที่นครธม (Angkor Thom) มี Lankmark เยอะเลยครับในนครนี้ ที่ผมชอบสุดคงเป็น ปราสาทบาปวน (Baphuon) แลดูอลังการงานสร้าง สวยมากจริงๆ ชอบตรงที่ถ้าขึ้นไปยอดจะปราสาท จะมองวิวได้รอบๆ แต่ทางขึ้นชันไปหน่อย ไม่เหมาะกับผู้สูงอายุน่ะครับนี่พูดเลย ผมก็เหนื่อยแทบตายกว่าขึ้นไปถึง แถมตอนลงสูงมาก เสียวอีก TT









             ก็ขอจบเพียงแค่นี้ ดองมานาน ได้เขียนเสร็จซะที ยังเหลือตอนลงพื้นที่เชียงใหม่เนี่ย ไม่รู้จะเสร็จตอนไหน รูปหายหมดแล้ว 5555 ครั้งนี้ที่เฟลมากคือ ลืมเอากล้องไป ถ่ายกับ Moto-G ก็ได้แค่นี้ล่ะ น้ำตาจิไหล
            สุดท้ายนี้ขอบคุณพี่บิว พี่ศล และพี่โอ๊ตสุดหล่อ จาก ITU ที่ดูแลพวกเราเป็นอย่างดีตั้งแต่ไปจนกลับ เรียกได้ว่าอิ่มท้อง อิ่มกาย อิ่มใจ ตลอดงานเลย ขอบคุณมากๆครับ :)




วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ลงตัวมาก หนังทรงคุณค่าแก่การดู ‪#‎คีตราชนิพนธ์‬ มาครบทุกอารมรณ์

      วันนี้ฤกษ์งามยามดี พอสอบเสร็จก็รีบทานข้าวแล้วก็แวะไปเมเจอร์เลย ดีที่ผมจองในเว็บไว้ก่อน พอไปถึงก็ลงทะเบียนรับตั๋วหนังได้เลย ไม่ต้องต่อแถวรอนาน แถมยังแถม CD เพลงด้วยอีกหนึ่งแผ่น จะบอกว่าคนมาเต็มมาก ไม่นึกน่ะว่าจะมีคนสนใจด้วยแฮะ
      ถ้าถามว่าทำไมอยากดู ไม่รู้ดิ คงประมาณสอบเสร็จอยากคลายเคียสด้วย เทลเลอร์ผมก็ไม่ได้ดูเลยน่ะว่าเป็นไง แต่ก็เอาเถอะมนคงน่าจะมีอะไรน่าสนใจบ้างเลยแวะไปดูสักนิด ผมว่าเรื่องนี้คนส่วนใหญ่อาจมองแค่ว่าคงเป็นหนังน่าเบื่อ ไม่มีอะไรหลอก ไม่ก็น่าจะเกี่ยวกับละครเพลงอะไรเนี่ย ผมก็มองแบบนั้น เพราะดูจากชื่อเรื่องมันพาไปประมาณนั้น แต่พอดูเสร็จผิดคาดไปหน่อย (ที่จริงเยอะแหล่ะ 555) เป็นหนังที่ผู้กำกับได้รับแรงบรรดาลใจจากเพลงพระราชนิพนธ์ของพ่อหลวงเรานี่แหล่ะ แต่ทำออกมาเป็นหนังสั้น ทั้งหมด 4 เรื่อง 4 ผู้กำกับ ซึ่งแต่ล่ะเรื่องก็มีความเป็นเฉพาะตัวของของมันออกไป วันนี้ก็มารีวิวสั้นๆขอเก็บความประทับใจไว้สักหน่อย

ผมชมที่ Hatyai Cineplex

        เรื่องที่ 1 The Singers  เป็นเรื่องของความรู้สึกของคนคนนึงที่ต้องสูญเสียสิ่งที่ตัวเองรัก กับคนที่พยายามรักษาสิ่งที่ตัวเองรัก
        สำหรับผมเรื่องนี้เป็นหนังอารมณ์เบาๆ อินโทรเปิดเรื่อง ไม่ค่อยมีอะไรมาก เนื้อเรื่องเสพง่ายๆรงไปตรงมาและไม่มีอะไรที่ซับซ้อนเลย


(Spoil)
      เป็นการเล่าเรื่องที่คนๆนึง ชื่อเป้า ที่เป็นมะเร็งทำให้สูญเสียการร้องเพลง แล้วก็หนีมาอยู่วัด จนมาเจอยายหลานคู่นึง  หลานเป็นโรคไต ส่วนยายเงินร้องเพลงเพราะมาก แต่ร้องให้หลานฟังคนเดียว เพราะตอนวันสาวไปร้องเพลงแล้วเป็นลมต่อหน้าคนเยอะๆ เลยฝังใจไม่กล้าอีก ช่วงนั้นมีประกวดร้องเพลงพอดี ยายเป้าเลยคะยั้นคะยอให้ยายเงินไปประกวดร้องเพลงะให้ได้ เพื่อเอาเงินมารักษาหลาน
 
 

      เรื่องที่ 2 อมยิ้ม บางทีการที่คนๆนึงไม่แสดงออกทางสีหน้า ท่าทาง ก็ใช่ว่าไม่รู้สึก ไม่ใช่ไม่คิดอะไรจริงๆ
      ผมว่าเรื่องนี้คงโดนใจวัยรุ่นแน่ๆ ผมยังชอบเลย เป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ที่อยู่ในโรงเรียน เขาไม่แสดงสีอารมณ์อารมณ์อะไรเลย จนเป็นตัวตลกของเพื่อนๆ โดนล้อโดนกระทำสาระพัด และได้มาเจอดาว ยิ้มหวานมาก ผมยังชอบเลย อิอิ ที่กำลังหาคนแสดงละครด้วย แล้วทั้งคู่ก็ได้แสดงล่ะครกัน จากนั้นก็มีเรื่องตามมามากมาย ....

ก้อง: เราจะกลับมารักกันได้มั้ย?
ดาว: ผมจะกลับไปรักคุณได้ยังไง ในเมื่อผมไม่เคยหยุดรักคุณเลย    
       
       ตอนจบยัดคำคม ทั้งๆที่ผมว่าไม่ค่อยเข้าน่ะ แต่ก็โดนดี มันช่วยให้ฉุดคิดอะไรขึ้นมาได้สักหน่อย ประมาณว่า  "ที่ผ่านมาเรากล้าที่จะโกรธกัน กล้าที่จะแสดงความเกลียดที่มีต่อกัน กล้าที่จะทะเลาะกัน แต่กลับไม่กล้าที่จะยิ้มและบอกรักให้กัน"

"เรา" รู้สึกรำคาญ คนที่เดินอยู่ข้างหน้าเราแบบเอื่อยๆ แต่เราไม่รู้หรอกว่าเขาพึ่งจะสอบตกมา
"เรา"รู้สึกไม่ชอบอาจารย์ที่เอาแต่หัวเราะร่าเริงไปวันๆ แต่เราไม่รู้หรอกว่าเขาเป็นมะเร็ง
"เรา"บีบแตร์ใส่คนที่กำลังข้ามถนนแบบ กระตุกกระตัก แต่เราไม่รู้หรอกว่าเขาใส่ขาเทียมอยู่ 

        คุณอาจจะรู้ว่าคุณกำลังเผชิญกับอะไร แต่คุณไม่รู้หรอกว่าคนข้างๆเขาเผชิญกับอะไรมา



(Spoil)
     ก้องเป็นเด็กพิเศษ แต่สบายดี ที่ไม่สามารถแสดงอารมณ์ทางสีหน้าได้ มีความสุขก็ยิ้มไม่ได้ เศร้าก็ร้องไห้ไม่ได้ และสุดท้ายเป็นดาวที่ใช้ใจสัมผัสจึงได้เห็นอารมณ์ของเขา
 



        เรื่องที่ 3 ฝนตกที่ห้วยขาแข้ง ผมว่าพีคสุดและทำออกมาดีสุด และชัดเจนสุดจนไม่ต้องพูดอะไรเลย
       เรื่องนี้นักแสดงเอาอยู่จริงๆ ผมรู้สึกว่าเขาคือคุณสืบ แสดงได้ออกมาดีมากๆ บวกกับโปรดักชั่นที่โอเครมัน ทุกอย่างมันลงตัว เป็นการเล่าเรื่องของคุณสืบ นาคะเสถียร เปิดฉากมาด้วยการไปช่วยเหลือสัตว์ที่กำลังจะตายจากการสร้างแก่งเชียวหลาน จากนั้นต่อสู้ป้องกันจนไม่สร้างเขื่อนน้ำโจนได้สำเร็จ และได้อาสาไปทำงานที่ห้วยขาแข้ง แต่ด้วยอิทธิพลของคนในพื้นที่ การคอรัปชั่นของคนในรัฐบาลรวมถึงลูกน้องของคุณสืบเอง และการเสียชีวิตของลูกน้องคุณสืบจากโจรบุกรุกป่า จนทำให้คุณสืบเห็นแล้วว่า คงไม่สำเร็จได้ จนคิดว่าต้องเอาชีวิตตัวเองเข้าแลกแล้ว ก่อนที่คุณสืบจะยิงตัวตาย ได้เขียนจดหมายถึงลูก ผมชอบคำพูดที่เขียนถึงลูกมากประมาณว่า " .. เขาว่ากันว่าการฆ่าตัวตาย จะต้องชะใช้กรรมฆ่าตัวตายอย่างนั้นอีก 20 ชาติ แต่มันจะมีประโชน์ไหม ถ้าทำอย่างนั้นได้สามารถช่วยได้อีกมากมาย ... " และมีจดหมายถึงยูเนสโก้เสนอห้วยขาแข้งเป็นมรดกโลก และพอเขายิงฆ่าตัวตายเพื่อปกป้องผืนป่าและสัตว์ป่า ยูเนสโก้ ได้ขึ้นทะเบียนให้ห้วยขาแข้งกลายเป็นมรดกโลก อย่างที่เขาคาดหวังไว้จริงๆ ผมพึ่งรู้ว่า งบประมาณในการดูแลผืนป่าที่ดีที่สุดในประเทศ 80สตางค์/ไร่/ปี
       "มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐจากการสมมุติตัวเอง สัตว์ป่ามีสิทธิ์มีชีวิต มนุษย์มีสิทธิ์อะไรไปเอาชีวิตมัน" ชีวิตคนเรามีรูปถ่ายตั้งหลายใบ สุดท้ายเหลือเพียงรูปขาวดำใบสุดท้ายของชีวิต




      และ เรื่องที่ 4 ดาว เรื่องสุดท้าย ที่เอาเด็กมาสื่อถึงการทำความดีได้ดีมาก เสียดสีสังคมได้ชัดเจน
      เรื่องสื่อประมาณว่า คนในสังคมเดี๋ยวนี้ก็ทำความดีเอาหน้า คนจะทำความดีได้เมื่อได้รับประโยชน์จากการทำความดี ผมแอบมองไปไกลถึงสมุดบันทึกความดีที่เด็กทำ ว่าจริงๆแล้วเขาคิดจะอยากทำดีไหม หรือแค่ต้องทำเพราะสมุดมันบังคับให้ทำ ก็เหมือนกัน เรื่องนี้ หนุ่ย เป็นเด็กที่เรียนระดับปานกลาง เขาคิดว่าเขาทำทุกอย่างไม่ได้เรื่องเลยในสายตาพ่อของเขา เขาจึงอยากทำสักอย่างให้พ่อเขาภูมิใจ โดยเขาอยากเป็นคนเชิญธงชาติ แต่ก็ต้องเจอคู่แข่งเป็นเพื่อนร่วมห้อง(ที่เข้ามาเพราะหวังบางอย่าง) ครูได้ตั้งเกณฑ์ไว้ว่า ใครทำความดีอะไร จะให้หนึ่งดาว แล้วก็ใครได้มากที่สุดก็จะได้เชิญธง
       เพื่อนร่วมห้องของเขาก็ทำเอาหน้าสารพัดจนได้เป็นคนเชิญธงชาติที่สุด ถึงหนุ่ยจะทำไม่สำเร็จไม่ได้เป็นคนเชิญธงชาติ แต่จะมีเหตุการณ์หนึ่งที่เป็นจุดเปลี่ยนทำให้พ่อเขาเขาภูมิใจ มากกว่าเรื่องไหนๆซะอีก




       กล้าพูดได้เต็มปากเลยว่า เป็นหนังที่ทกุคนควรไปดูจริงๆ เอาเป็นว่าผมน้ำตาไหลแทบทุกเรื่อง มีครบทุกอารมณ์ มันอาจไม่ใช่หนังที่ยอดเยี่ยมที่สุด แต่ก็เป็นหนังที่ดีที่สุด

วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ซื้อของ Online ในไทยกันเถอะ!! iTrueMart vs Lazada vs Zalora

      วันนี้มาพูดถึงการซื้อของหน่อย จากเว็บขายของชื่อดังในไทยนี่แหล่ะ เนื่องจากผมเป็นคนชอบสั่งของ Online มาก เพราะขี้เกียจไปเดินซื้อเอง บวกกับสะดวกมาก มีเพื่อนมาขอคำแนะนำว่าซื้อของที่ไหนดี ก็ให้คำแนะนำไปเล็กน้อย 
      ผมว่าปัจจัยหลักที่หลายๆท่านซื้อของ Online มากขึ้น มาหลายๆอย่างเลย ถ้าเอาจากผมเองเป็นหลักก็ด้วยเหตุผลหลักไม่กี่ข้อนี้
     1. เป็นเรื่องของราคา ที่ถูกกว่าหน้าร้าน (อาจลดอยู่แล้วหรือได้ส่วนลดพิเศษ)
     2. เวลาและความขี้เกียจ ไม่อยากต้องขับรถไปร้าน ยิ่งของบางอย่างมีแต่ในห้าง กว่าจะขับรถไปถึง ปวดหัวกับหาที่จอดรถอีก กว่าจะเดินไปถึงร้านอีก เสียเวลามาก
     แต่มันก็ต้องแลกด้วยกับความเสี่ยงอีกหลายๆอย่าง อันนี้ต้องยอมรับ บางคนถามมาว่า กลัวถูกโกงไหม ของจะส่งหรือเปล่า หรือมีคุณภาพไหม? มันก็ตอบยากครับ สิ่งหนึ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือ หารีวิวร้านค้าที่เราจะไปซื้อ เดี๋ยวนี้หาง่ายครับ ตามเว็บดังๆหลายเว็บ เช่น Pantip มีโพสเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้เยอะครับ ผมเลยเลือกร้านค้าที่น่าเชื่อถือ มีรีวิวค่อนข้างบวก แล้วก็ไม่หลอกแน่ๆ ที่สำคัญมีร้านขายของอยู่จริง หากมีปัญหาก็ติดต่อไปสอบถามได้ตลอดเวลา ถ้าไม่ชอบหรือมีปัญหาก็สามารถคืนได้ เลยเลือกๆร้านมาเหลือร้านชื่อดังเมืองไทย 3 ร้าน ที่ผมสั่งบ่อยที่สุด คือ iTrueMart  Lazada และ Zalora แต่สามร้านนี้ก็ไม่ได้จะดีเลิศประเสริฐศรี  100% น่ะครับ ก็เห็นมีปัญหาหลายๆอย่างที่อ่านเจอ เช่น Lazada มีกรณีเอาของที่ผ่านการใช้งานแล้วมาส่ง กับร้านค้านอกที่เข้ามาขายบนเว็บที่ไม่มีคุณภาพ , iTrueMart ของหายละหว่างจัดส่ง บลาๆ

     คราวนี้มาเน้นๆ กับ สามร้านดังของเมืองไทยกันดีหว่า iTrueMart  Lazada และ Zalora เริ่มต้นด้วย iTrueMart ผมพูดเลยว่าปลื้มสุดล่ะ สั่งมาบ่อยสุดเลย เพราะเป็นร้านเดียวที่ไม่มียอดขั้นต่ำในการสั่งซื้อ แพ็คของดี และที่สำคัญผมสั่งทุกครั้งส่งแต่ Kerry ทุกครั้งเลย ครั้งนี้ลองใจสั่ง 9฿ ก็ส่งจริงแฮะ ไม่ยกเลิก order ด้วย ผมว่าค่าแพ็คของ+ค่าส่ง เกิน 9฿ ที่ผมสั่งแน่ๆ นับถือจริงๆ ใจถึงมาก

iTrueMart
            ส่วน Lazada  เพื่อนบอก่าส่ง Kerry express มาให้เหมือนกัน แต่ผมสั่งครั้งแรกก็เซ็งเป็ดเลย ส่ง EMS มาให้ครับ สั่งเกือบ 7000 แต่ส่ง EMS มาให้ น้ำตาผมจะไหล TT รวมเวลาส่งมาถึงมือผม ผมอารมณ์อยากได้พอดี พอโทรไปถามพนักงานว่าทำไมส่งไปรษณีย์ไทยมา หน้าเว็บไม่มีข้อมูลตรงไหนบอกว่าจะส่งให้ไปรษณียืไทเลย มีแต่ส่งขนส่งเอกชน พนักงานบอกว่า "ช่วงนี้คนสั่งเยอะ ต้องเร่งกระจายสินค้า" เดี๋ยวๆ มันไม่เกี่ยวกันเลย!!
           สุดท้าย Zalora ผมสั่งประมาณ 4 ครั้ง ส่ง CJ Logistics มาให้ทุกครั้งเลย รวดเร็วมาก ใส่กล่องแพ็คกิ้งดีมาเหมือน iTrueMart เลยครับ คืนเงินก็ไม่เรื่องมาก แต่ระยะเวลาเข้ากลับมาอาจนานหน่อย ขึ้นอยู่กับ bank ด้วย


บริการ ตรวจสอบสั่งซื้อ ผู้ให้บริการส่ง ระยะเวลาจัดส่ง* อื่นๆ
iTrueMart
ไม่เกิน 2 วันนับจากวันสั่ง
Kerry express
2-3 วัน
ไม่มีขั้นต่ำในการสั่ง ซื้อบาทเดียวก็ส่ง
Lazada 
1 วันนับจากที่จ่ายเงิน
Thai post
8 วัน
อีเมลล์ไปสอบถาม ช้ามากกว่าจะตอบ แนะนำโทรไปสอบถามโดยตรง
ฟรีค่าสั่ง เมื่อสั่งเกิน 999 บาท หรือ 499 ถ้าอยู่ในกรุงเทพ
Zalora
วันเดียวกับที่ชำระเงิน
 CJ Logistics
1-2 วัน
ฟรีค่าส่ง เมื่อสั่งเกิน 690 บาท
หมายเหตุ เป็นการสั่งที่ผมเจอเท่านั้น ท่านอื่นสั่งอาจแตกต่างไปจากนี้ (อาจขึ้นอยู่กับเวลาที่ผมสั่ง หรือปัจจัยอื่นๆ การจัดส่งของร้านในแต่ล่ะครั้งที่สั่ง)
                  * ส่งมาหาดใหญ่

        เดี๋ยวหลังจากนี้ถ้ามีเวลาว่างๆ จะแวะมาเขียนการสั่งของจากต่างประเทศ ไม่ว่าจากเว็บตรงๆเลน หรือหิ้วผ่านร้านค้าน่ะครับ เผื่อจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่คิดจะสังครับ