วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2558

ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม เพื่อสร้างสังคมไทยที่เป็นธรรม

เสวนา "ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม เพื่อสร้างสังคมไทยที่เป็นธรรม"
โดย ศ.(พิเศษ)วิชา มหาคุณ/ศ.(พิเศษ)จรัญ ภักดีธนากุล
วันที่ 6 มีนาคม 2558 
ณ ห้องทองจันทร์ฯ อาคารเรียนรวมคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์


           กระบวนการยุติธรรมเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับวิธีชีวิตของผู้คน ในทางด้านสังคมหรือทางด้านความยุติธรรม คือ ด้านความเสมอภาคและความเท่าเทียมกัน จะเห็นได้ว่า กระบวนการยุติของเราแท้จริงก็ไม่ใช่ของเราเอง ก็ลอกเลียนแบบของต่างประเทศมา แต่การลอกเลียนแบบ ปรากฏว่า ประชาชนคนไทยจริงๆก็ยังอยู่ในระบบดั้งเดิมคือระบบอุปถัมป์ ระบบอํามาตย์ หรือระบบไพร่ ถึงแม้จะไม่ได้แสดงความเป็นอํามาตย์ชัดเจน แต่ก็เห็นได้ชัดเจน มีบางบุคคลหรือคนบางกลุ่มจะได้รับสถานะ ที่เรียกว่าอภิสิทธิ์ชน หรืออภิชนาธิปไตย ระบบการปกครองโดยคนชั้นสูง ประชาชนมีส่วนร่วมในทางกฏหมายค่อนข้างจะลำบาก ชาวชนบทที่อยู่ห่างไกลความเจริญ การเข้าถึงกฏหมายเป็นเรื่องยาก เพราะความเข้าใจในตัวบทกฏหมายไม่เข้าใจ การสื่อสารที่จะบอกศาลหรือบอกคนที่เกี่ยวข้องอย่างตำรวจ เช่นหมายจับ หมายค้นเป็นยังไง มาค้นได้ยังไง ชาวชนบทที่ไม่รู้เรื่อง ยากจะที่ต่อสู้หรือโต้แย้งกับผู้มีอำนาจ

            การปฏิรูปจึงต้องทำทั้งระบบ และตัวบุคคล รวมถึงจิตสำนึกของคน บางครั้งตัวบุคคลบางทีใช้อำนาจมากกว่าความยุติธรรม ระบบที่มันเป็นอยู่ล้วนแต่มีจุดอ่อนข้อด้อยไปหมด ตัวอย่างเช่น ระบบความยุติธรรมของอาญาไทย
            1. ยังจับคนบริสุทธิมาดำเนินคดี(แพะ) คือสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในระบบความยุติธรรมทางอาญา เหวี่ยงแหจับมาก่อน แล้วค่อยพิสูจน์ว่า ถ้า DNA ไม่ใช่แล้วค่อยปล่อย กรณีนึง จับมาแล้ว แถลงข่าวแล้ว ยอมรับแล้ว แต่ผลตรวจ DNA ว่าไม่ใช่ก็ต้องปล่อยไป หรือเป็นแพะนั่นเอง แต่ถ้าไม่มี DNA จะเป็นไง ? มันจะเดินไปสู่โทษถึงประหาร ทำไมต้องรับสารภาพ ? เพราะไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้เลยว่าความผิดฐานนี้อย่างน้อยติดคุยอย่างน้อย 20 ปี ถึงตลอดชีวิต เราเลยต้องการการเพิ่มปริมาณหรือคุณภาพของนิติวิทยาศาสตร์สูงสุดเลย เพราะมันช่วยได้มากๆเลย 
            2. ระบบงานยุติธรรมปล่อยคนชั่วลอยนวล เพราะเขาเป็นคนยิ่งใหญ่ ผู้ทรงอิทธิพล มีอำนาจเงิน อำนาจรัฐ อำนาจเถื่อนอยู่ในมือ ทำผิดก็ไม่สามารถจับได้ คนที่เป็นเหยื่อคือกลุ่มคนเล็กคนน้อยที่ถูกทอดทิ้ง ระบบของไทยคือใยแมงมุม จับได้แต่คนเล็กคนน้อย แต่ตัวใหญ่ตัวร้ายไม่เคยติดใยแมงมุมเลย มันทะลุทะลายไปได้หมด
           3. เจ้าหน้าที่บ้านเมือง ผู้ทรงอำนาจ พวกอํามาตย์เป็นอาชญากรซะเอง ทำผิดกฏหมาย ทำร้ายประชาชนซะเอง โดยในนามของกฏหมาย ในนามของผู้รักษากฏหมาย ในนามของเจ้าหน้าที่รัฐ มันทำลายในความเคารพ ความเชื่อถือความศรัทธา ในประเทศชาติในสังคมไทย
           4. ทำอย่างไรจะให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมกับกระบวนการยุติธรรมได้ ทำอย่างไรจึงจะจัดการที่คนที่ล้นคุกอยู่ทุกวันให้น้อยลง มันเยอะขึ้นทุกวัน
           5. ความล่าช้าของกระบวนการยุติธรรม ไม่มีกรอบเวลา และคนจนจะเข้าสู่ระบบความยุติธรรมไม่ได้ มันแสนแพง บางคดีกว่า 20 ปี จุงจะถึงที่สุดในศาลฏีกา จึงตัดสินได้ คนที่ถูกละเมิดตายไปแล้ว เงินเอามาชดใช้ให้กับคนรุ่นหลัง

            ระบบความยุติธรรมที่แท้จริงคือการรับใช้ผู้คนให้อยู่เย็นเป็นสุข ให้สังคมมีความปลอดพ้นจากการใช้อำนาจในทางกดขี่ข่มแหง คนๆนึงโดนจับมาต้องเผชิญกับอำนาจรัฐตั้งแต่เริ่มต้นเลย คนจับคือคนของรัฐ คนสอบสวนก็คนของรัฐ ศาล อัยการ ก็ของรัฐ หมายความว่า ต้องยืนอยู่หน้ารัฐอันหน้าสะพรึงกลัว รัฐไม่ได้น้อมเข้าหาประชาชนเลย ในระบบสมัยใหม่ ไม่ได้มองในความยุติธรรมของรัฐ เพราะเป็นเรื่องของการครอบงำของอำนาจนิยม จะแต่มองในแง่ของความยุติธรรมของชุมชน (Community justice) ความอ่อนโยนของสังคมที่ไม่แข็งกร้าว ที่ไม่ได้ใช้อำนาจรัฐ ในการเข้ามาบริหารจัดการ

             รูปแบบของเราในรูปของรัฐไทย จะนำไปสู่ความเป็นสถาบัน คือทุกอย่างต้องเป็นระบบระบอบหมด เมื่อไปสถานีตำรวจ พอไปถึง ตำรวจจะถามว่า มาแจ้งข้อหาอะไร นี่คือความเป็นสถาบัน ไม่ใช่ความเป็นประชาชนที่จะติดต่อกับประชาชน หรือชุมชนกับชุมชนด้วยกันเอง ไม่ได้มองไปถึงรากเหง้าความเดือดร้อนของประชาชนจริงๆ

           กระบวนการยุติธรรมที่ได้รับอยู่ทุกวันนี้ จริงอยู่คือความยุติธรรม แต่มันถูกครอบงำโดยระบบ เราสามารถจะไปตั้งศาลที่โรงนา เพื่อที่จะไต่สวนสักเรื่องนึงไม่ได้ เขาบอกว่า นี่ไม่ใช่ศาล คุณต้องตั้งศาลขึ้นก่อน ศาลไม่สามารถที่จะเคลื่อนที่ไปพบกับชาวบ้าน นั่งคุยกับชาวบ้านได้ ระบบโดนครอบงำตั้งแต่แรก คนที่เข้ามาต้องได้รับเงินเดือน ได้รับค่าตอบแทน  เราจะให้ความยุติธรรมกลางคืนได้ไหม  ศาลช่วยมาหน่อย ชาวบ้านเดือดร้อน แต่จะมีคำถามว่า มีค่าตอบแทนรึเปล่า ถ้าไม่มีก็ไปเคาะเรียกประตูไม่ได้

           ใครคนเปลี่ยน ? ถ้าเป็นภายใน ไม่มีทาง คนที่อยู่ในระบบนานๆ มองเห็นว่า เปลี่ยนทำไม ไม่เห็นว่าจะทำให้อะไรดีขึ้นเลย บ้านเมืองจะดีขึ้นได้ไง ของเก่าดีอยู่แล้ว โดยเฉพาะคนที่อยู่ในระบบของศาล ในระบบของความยุติธรรม เรียกว่า เป็นพวกอนุรักษ์นิยมที่สุด ไม่มีการกล้าทุบโต๊ะบอกว่าต้องมีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้น การเปลี่ยนแปลง ต้องมาจากชั้นล่าง คนที่เป็นประชาชน ที่เรียกว่าชุมชน ชุมชนต้องจับมือกันสร้าง Community justice ไม่จำเป็นต้องรอให้กฏหมายเกิดก่อนแต่สามารถสร้างพื้นฐานได้ มีคณะกรรมการดูแลความยุติธรรมในแต่ล่ะชุมชน ออสเตรียก็เกิดจากจุดนี้ และเป็นตัวผลักดันให้เกิดกฏหมายที่เรียกว่า Community justice Law และประเทศอื่นก็เอาอย่าง มันก็มาจากระบบโบราณ คือกำนันผู้ใหญ่บ้าน คณะกรรมการหมู่บ้าน แต่ว่าเขาพัฒนาไปถึงจุดว่า ถ้ามีเหตุการณ์เกิดขึ้น เขาสามารถใช้ความยุติธรรมในเชิงสมานฉันท์ปรองดองได้ โดยไม่ต้องไปศาล หรือถ้าหากว่าจำเป็นให้ศาลเคลื่อนที่มาคุยกัน กระบวนการยุติธรรมของออสเตรียจะเห็นได้เลยว่า ให้ศาลไปนั่งเป็นประธานในชุมชน นั่งที่โรงเรียนแห่งหนึ่งแห่งใดก็ได้ หรือว่าที่บ้านที่เป็นโรงนา แต่ของไทย ยากกก
       
         ถ้าดูในการเปลี่ยนแปลงของโลกจะเห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นออสเตรีย นิวซีแลนส์ แคนนาดา แม้แต่สหรัญอเมริกา มองเห็นจุดสำคัญว่า ต้องเปลี่ยนแปลงจากชุมชน ไม่ใช่มาจากรัฐ ชุมชนแต่ล่ะชุมชนต้องบริหารจัดการความยุติธรรมของตัวเอง โดยสอดคล้องกับขนบธรรมเนียมประเพณีของตนเอง ซึ่งมีความแตกต่างกัน ระบบความยุติธรรมดั้งเดิมของเราคือ ต้องเหมือนกันหมด เหมือนกับการใช้ภาษาต้องมีภาษา ต้องมีกลาง ไม่ยอมรับน่ะว่าเขาเหนือน่ะ เขาใต้น่ะ เขาตะวันออก ซึ่งมีความแตกต่างกันโดยพื้นนิสัยใจคอ ทั้งเรื่องความเป็นอยู่ จะให้เหมือนกันไม่ได้ เป็นความไม่เหมือนกัน แต่อยู่ร่วมกันได้ เป็นจุดสำคัญที่สุดเป็นสังคมพหุ คือร่วมกันในความหลายหลาย จิตเจตจำนงว่าเราจะสร้างความยุติธรรม ให้แก่สังคมให้แก่บ้านเมือง แต่รูปแบบเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ยึดรูปแบบที่บอกว่า ต้องมาจากอันนี้เป็นของหลวง เป็นของส่วนกลางต้องเหมือนกันหมด

         คณะกรรมการ Community justice เกาหลีกำลังดำเนินการเป็นประเทศล่าสุด ถือหลักว่า ยุติธรรมของชุมชนเหนือว่ายุติธรรมของรัฐ ญี่ปุ่นเปลี่ยนก็แปลงมานานแล้ว อย่างศาลยุติธรรมเวลาศาลจะตัดสินเขาจะมอง Community สำคัญกว่าความยุติธรรมรัฐ (จารีตประเพณี) ต่างจากกฏหมายเขียน เขียนมาอย่างนี้ ต้องทำอย่างนี้ กรอบมาแบบนั้นต้องทำไปแบบนั้น ต้องชัดเจน แน่นอน ไปตามลายลักษณ์อักษร

        การพัฒนาในระบบของความยุติธรรม ต้องไม่ประมาณ คำนึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุมีผล ต้องให้ความรู้แก่ผู้ที่อยู่ในชุมชนทุกคน ทุกคนเป็นประชา่ชนต้องมีความรู้ในด้านกฏหมาย ต้องเขาถึงกฏหมาย ที่เรีกยว่า "ทรัพยากรกฏหมาย" ไม่ใช่กฏหมายเฉยๆ กฏหมายเฉยๆก็คือ ที่เอากฏหมายมาวางที่ออกมาจากรัฐสภา ออกมาจากสภาผู้แทนราษฎร ออกมาจากวุฒิสภา ออกมาแล้วเอามาวาง ไม่ใช่กฏหมายที่เอามาใช้กับชีวิตประจำวันผู้คน เหมือนถ้าคนในพื้นป่า เขาต้องรู้ว่ามีกฏหมายใดมาปกป้องผืนป่าตรงนั้น ต้นน้ำลำธารที่ใสสะอาด จะปกป้องยังไง กฏหมายที่เอามาดูแลเป็น Legal Resources คือแปลงสภาพจากตัวบทกฏหมาย (Law) มาเป็นความสำคัญต่อวิถีชีวิต คือกรอบแนวความคิด กระบวนความคิด มองเปลี่ยนแปลงการมองกฏหมายว่าเป็นสิ่งตายตัว มาเป็นเข้ามาอยู่ในหัวใจของเรา กระบวนการที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ อย่างเช่น ประเทศบาลซิล บริษัทข้ามชาติมาตัดไม้ทำลายป่า คนที่อยู่ในป่า คือกลุ่มคนที่เข้ามาสู่กระบวนการศึกษาหาความรู้ ว่าจะปกป้องผืนป่าทั้งป่านั้นได้ยังไง เขาทำสำเร็จแล้ว โดยที่ใช้วิธีการผนึกกำลังกันทุกคนที่อยู่ในป่า ไม่ใช่สู้กันแบบตัวใครใครตัวมัน คือการสร้างเครือข่างที่แข็งแกร่งมาก แล้วฟ้องร้องไปทั้งที่รัฐและสหประชาชาติ เดินเท้าไป เดินขบวนไปเพื่อปกป้องทรัพยากรธรรมชาติของเขาเป็นล้านคน ทำให้หยุดยั้งในการทำลายผืนป่าได้ ในที่สุดแล้วเป็นแม่แบบที่สำคัญว่า กระบวนความคิดในเรื่องการบริหารจัดการกฏหมายในเรื่องของทรัพยากรกฏหมาย ไม่ใช่กฏหมายเป็นตัวบทที่เอามาวางไว้ไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่อง คนที่มาให้ความรู้เรียกว่า "นักกฏหมายเท้าเปล่า (Barefoot lawyer)" คือนักกฏหมายที่ติดดิน ไม่ใช่นักกฏหมายที่บอกว่า จะได้สร้าง law firm จะเรียกเงินเยอะๆ และจะเป็นทนายให้พวกโจรด้วย แต่จะต้องเป็นนักกฏหมายที่รับใช้ประชาชน ดูแลทุกข์สุขของประชาชน

          หน้าที่คณะนิติศาสตร์ สิ่งที่มีความสำคัญที่สุดคือ การเข้าถึงข้อมูล จะต้องทำข้อมูลที่ยากให้ง่าย สะดวกต่อประชนชน ให้ประชาชนสามารถรู้ว่ากฏหมายนี้มีประโยชน์ยังไงต่อตัวเขาเอง และใช้ยังไง
ต้องสร้างเด็กรุ่นใหม่ให้สอดรับจิตสำนึกในเหตุบ้านเมือง คณะนิติศาสตร์ ตอนนี้สอนคนให้ไปเป็นคนอ่านและเขียนกฏหมาย ไม่ได้สอนคนเป็นผู้สร้างสรรค์ความยุติธรรมให้แก่สังคม มันเลยถูกขังไว้ด้วยภาษาไทยในกฏหมายหรือภาษากฏหมายไทย มันไปไม่ถึงความยุติธรรม สอนแต่ลูกศิษย์แต่กฏหมายแต่ไม่มีโอกาสได้สอนจุดหมายปลายทาง ซึ้งมันลึกซึ้งกว่าความยุติธรรม มันคือการแบกค้ำแผ่นดิน แบกค้ำประชาชนและสังคม ร่วมกับศาสตร์แขนงอื่นๆ

           การปฏิรูปตำรวจเป็นเงื่อนไขใหญ่สุดของระบบยุติธรรมของเมืองไทย ถึงเวลาแล้วต้องทำให้ตำรวจมาเป็นคนของพื้นที่ มาเป็นคนของพื้นที่ รู้จักวัฒนธรรมประเพณี รู้จักวิถีชีวิต  รู้จักจิตใจ รู้จักปัญหาของคนในพื้นที่ สมมุติพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง เรื่องของแค่สภาพภูมิประเทศอยู่ตรงไหน ซ่อนตรงไหน ตรงไหนทำเลเหมาะ ตรงไหนโทรผู้ร้ายเต็ม เอาตำรวจจากอีสาน ย้ายตำรวจจากกรุงเทพ เอาตำรวจจากทั่วประเทศไทย ให้เก่งเท่าไหร่ก็ตาม จะทำอะไรได้ ถ้าทำแล้วมันจะเข้าไปใช่เลยเหมือนในความรู้สึกของคนในพื้นที่ไหม  นี่แหล่ะเราเรียกร้องว่า เลิกส่งตำรวจจากที่อื่นมาพื้นที่นี้สักที เอาคนจากที่นี่ จะมีวิธีไหนก็ต้องแล้วแต่คนในพื้นที่คิด ให้ได้คนดีเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ เป็นอัยการ เป็นผู้พิพากษา แล้วรู้จักคนท้องถิ่น และประชาชนก็รู้จัก ว่าคนๆนี้ปล่อยให้เป็นตำรวจได้ ปล่อยให้เป็นอัยการได้ ปล่อยให้เป็นผู้พิพากษาได้ เพราะเขารู้จักมาตั้งแต่ตัวเล็กตัวน้อย ทำประโยชน์ให้สังคม ไว้ใจได้ อาจไม่เหมือนทางภาคเหนือ ไม่เหมือนทางภาคกลาง แต่มันคือคนที่นี่ มันแก้ปัญหาของคนที่นี่ได้ ทำความยุติธรรมได้  ตำรวจก็สอบตั้งแต่ลูกหลานของคนที่นี่ สอบเข้ามาเป็นตำรวจ นายร้อยตำรวจก็ต้องส่งไปจากที่นี่ส่งไปเรียนนายร้อยตำรวจ ด้วยระบบคัดกรองของเรา จบแล้วกลับมาปฏิบัติหน้าที่ที่นี่ ถ้ามันทำตัวไม่ดีก็ต้องไล่ออกจากที่นี่ ไม่ใช่ย้ายไปเกเรชาวบ้านไปภาคอื่น เหมือนกับการที่ย้ายตำรวจเกเรภาคอื่นมาทำร้ายประชาชนที่นี่ ถารมว่าทำไมไม่ระวัง เพราะเราไม่รู้จัก แต่ถ้าเป็นคนของเราเรารู้ดี  รวมถึงผู้พิพากษามองว่าไม่ค่อยอยู่ใกล้ชิด ถึงเวลาเราต้องปฏิรูปให้มันดีขึ้น รวมทั้งเจ้าหน้าที่

        ต้องมีการเขียนกฏหมายจำกัดระยะเวลา (กรอบเวลา) สำหรับเจ้าหน้าที่ทุกแผนก เจ้าหน้าที่ตำรวจล็อคด้วยกรอบเวลาเลย ตัวอย่างเช่น ถ้าจับแล้วภายใน 48 ชม.ต้องไปขออำนาจฝากขังของศาล สอบสวนคุณต้องทำให้เสร็จอย่างมาก 91 วัน หรือ 84 วัน หรือ 7 ฝาก ฝากล่ะ 12 ครั้ง เกินกว่านั้นเอาเขาไว้ไม่ได้ เว้นแต่จะให้ปล่อยชั่วคราวสัก 90 วันเท่านั้น งานของพนักงานสอบสวนยากกว่างานในขั้นศาล แต่พอคดีเข้าสู่ศาล หนึ่งปีเร็วมาก สองปีปกติ เคสนึง ศาลพึ่งตัดสินคดีที่หนึ่งของจำเลยคนเดียวกัน ใช้เวลาถึงเจ็ดปีในศาลชั้นต้นตัดสินคดีอาญา จำเลยคนนี้เลยต้องถูกขังฟรีมา 7 ปี ระหว่างพิจารณาว่าผิดของหาเล็ก ยังไม่พูดถึงข้อหาใหญ่ที่ยังไม่ตัดสินเสร็จ  เลยดูว่ามันไม่เป็นธรรมถึงจะทำผิดแต่ก็คือประชาชนคนหนึ่ง คดีนี้รวมแล้วเกือบ 20 ปี จากศาลชั้นต้นไปศาลอุทธรณ์ มันเลยต้องมีกรอบเวลาสำหรับการทำงานสำหรับอัยการและศาล ยังมีกรณีอัยการรับเรื่องเอาเข้าไปแล้วหายไป ขาดอายุความ เป็นไปได้ยังไง!! ต้องกำหนดให้ทางศาลอุทธรณ์มีกรอบเวลา ให้ศาลชั้นต้นให้พิจราณาเสร็จภายใน 1 ปี ศาลอุทธรณ์ 1 ปี ศาลฎีกา 1 ปี สรุปแล้วคดีนึงคาดหวังได้อย่างยาว 3 ปี ถือว่าพอทนได้ คนทำงานก็ต้องรู้ แต่ก็ต้องระวัง ถ้าเร่งมากคุณภาพอาจเพี้ยนแล้วมันจะเสียหายยิ่งกว่าช้า ก็ให้เงื่อนไขเพิ่มถ้าไม่เสร็จ มันซับซ้อน ยุ่งยาก เกิดอุปสรรค์ ให้ขยายเวลาได้ ครั้งล่ะ 6 เดือน ครั้งแรกขยายได้เองบันทึกในองค์คณะ ใส่เหตุผลไว้ว่าจำเป็นยังไงต้องขยาย ทำบันทึกผู้บริหารศาลทราบเท่านั้น ถ้ายังไม่เสร็จอีก มีเหตุผลสำคัญ เช่น พยานหลักฐานสำคัญยังไม่ได้มา ถ้าขืนตัดทิ้งอาจปล่อยคนชั่วไป ก็ให้ขยายได้อีก 6 เดือนเป็นครั้งที่ 2 แต่ครั้งที่ 2 ต้องอนุญาตท่านผู้บริหารศาลและคณะ และผู้ดูแลคุณภาพงานของศาลนั้น (ปีนึงไม่เกิด 10 เรื่อง ในบรรดาคดีอาญา มีประมาณ 5 แสนคดี น้อยมาก คดีนึงเสร็จก่อนหนึ่งปีด้วยซ้ำ) แต่ถ้าสองครั้งไม่เสร็จแสดงว่าคุณไม่สามารถล่ะ เปลี่ยนองค์คณะ หาคนที่สามารถมาทำ
     
       พยานวิทยาศาสตร์ ต้องทำเข้ามาใช้ การสืบพยานให้ผู้พิพากษาทำหน้าที่เป็นเสถียรบันทึกคำพยานเลิกได้แล้ว ทุกวันนี้ผู้พิพากษาของไทยไม่ได้สง่าผ่าเผย ภาคภูมิเหมือนผู้พิพากษาในสากลประเทศ ผู้พิพากษาต้องฟังให้ชัด ดูให้ชัดอากัปกริยา สังเกตดู คิด แต่ทุกวันนี้ผู้พิพากษาทำหน้าที่เป็นพนักงานบันทึกคำพยาน เป็นงานหนัก ช้า วันนึงสืบพยานบุคคลในศาล บางทีได้ครึ่งปาก พยานต้องมาครั้งที่สอง ครั้งที่สาม คนเดียวกันเลยไม่ต่อเนื่อง แต่ถ้าใช้สื่อเทคโนโลยีบันทึกภาพและเสียง พยานเล่าไปถามไป ผู้พิพากษาก็ดูไป มีอะไรสำคัญก็โน๊ตใส่โน๊ตตัวเองไว้ รายละเอียดทั้งหมดถูกบันทึกไว้โดยไม่มีใครต้องมารีไรท์อีกที คุณภาพดีด้วย เหมือนจริง เวลาอุทธรณ์ท่านก็เปิดวีดีโอดูสิ ก็เห็นเหมือนจริงแล้วใช้วิจารณญาณอันสุขขุมลุ่มลึกวิเคราะก์ว่าเป็นยังไง เร็วขึ้นแน่นอน แล้ววิทยาศานตร์บางแขนง เช่น DNA เทคโนโลยี มันแม่นมาก แม่นถึงขนาดให้พยานหลักฐานอื่นๆไม่ค่อยจำเป็นแล้ว มันก็สั้นกระชับลง พยานมาไม่ได้เพราะติดอยู่ที่ปัตตานี ใช้ video conference ไปได้เลย กฏหมายเปิดช่องอยู่แล้ว ทำได้ แต่ยังไม่ได้ทำ!! เพราะมันไม่ใช่ปัญหาของศาล แต่มันเป็นปัญหาของชาวบ้าน แล้วชาวบ้านก็ไม่มีความรู้ว่ามีสิทธิที่เรียกร้องเอาคุณภาพงาน เอาความถูกต้องเป็นธรรม ความเป็นธรรมที่กฏหมายไทยไปไม่ถึงอีกเยอะ

        ตัวอย่างกฏหมายเป็นปัญหา เคสแรก ที่หนองคาย ลุงข้ามไปลาวเอาของไปขายตอนเช้า แล้วซื้อของจากลาวกลับมาประเทศไทยตอนเย็น วันนั้นแกไปซื้อยาบ้าที่ลาวกินเพราะมันถูก ซื้อมาแล้วกินเหลือเก็บกลับมาเม็ดครึ่ง ถูกจับได้ โดยโทษจำคุก 25 ปี เพราะแกรับสารภาพมีเหตุบรรเทาโทษ กฏหมายแบบนี้ เป็นความยุติธรรมหรือกำลังทำร้ายประชาชนของเราภายใต้กฏหมาย เคสสอง ประมวลแพ่งพาณิชย์ 1331 บุคคลผู้ได้รับเงิน ไว้โดยสุจริต ไม่ต้องคืนให้เจ้าของโดยแท้จริง เพราะฉะนั้นโจรปล้นธนาคารแล้วเอาไปทำบุญ นักบุญรับไว้สุจริต ไม่ยอมคืนให้กับเจ้าของที่แท้จริงได้ไหม ? กฏหมายเปิด ตั้งแต่ พ.ศ. 2468 ต้องใช้อีกไหม ?

       ผู้ที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมต้องตรวจสอบได้ทั้งระบบ รวมถึงตัวบุคคล หมายความว่า ได้งบประมาณมาเท่าไหร่ ต้องให้ประชาชนรู้ ตรวจสอบได้ สภาให้เงินมาด้วยเหตุใดประชาชนต้องรู้ ซื้อเครื่องไม้เครื่องมือมาทำร้ายคนรึเปล่า ประชาชนต้องรู้ จะเงียบไม่ได้ ต้องเปิดเผยหมด อย่างที่ทราบกันคือ การซื้อเครื่องมอืตรวจวัตถุระเบิด ถูกหลอกทั้งเมือง ประชาชนไม่รู้เลยว่ามันเป็นเครื่องมือที่ใช้ไม่ได้ เพราะมันไม่มีอุปกรณ์อะไร มันเป็นอุปกรณ์หลอกลวง บริษัทรับสารภาพที่อังกฤษแล้ว ขนาดนี้กำลังตรวจสอบอยู่ที่ ปปช. ซื้อกันทุกหน่วยงานทุกกองทัพ ตำรวจด้วย รวมทั้งกระทรวงยุติธรรม ไม่เคยเปิดดูข้างในว่ามันมีเครื่องมือที่ตรวจได้จริงหรือเปล่า เพราะการซื้อแบบนี้ปราศจากความโปร่งใส ซื้อมาแล้วถึงมีปัญหาจึงมาตรวจสอบกัน ถ้าหากอังกฤษไม่รับสารภาพ ไม่ตัดสินว่าใช้ไม่ได้ ประเทศไทยคงเงิบอยู่ เงิบแปลว่า งี่เง่า+เงียบ สรุปแล้วคืองงงัน ไม่รู้ว่าที่มาที่ไปมาอย่างไร ดังนั้นทำทุกอย่างต้องเปิดเผย ชุมชนต้องรู้ว่า คุณจะได้รับอะไรที่เป็นสิ่งที่ดีสำหรับเขา ที่ไม่ดีสำหรับเขา ต้องตรวจสอบได้ ศาลก็ได้ อัยการก็ดี ราชทัณฑ์ก็ดี

       ศาลขังคนที่ไม่ควรขังไว้มาก เพราะตั้งข้อกล่าวหาไว้สูง การปล่อยตัวชั่วคราวเป็นไปได้ยาก คดีปล้นฆ่า ศาลหวาดระแวงว่าไปกระทบอะไรไหม เลยเข้าไปในเรือนจำแล้วเชิญพวกถูกจองจำแล้วไม่ได้ปล่อยตัวงช่วงคราวมาคุย ปรากฏว่าทุกคนถูกตั้งข้อหาไว้สูง มีคนนึง ต๋อยเพื่อนแล้วล้มลงหัวฟาดพื้นตาย ตั้งข้อกล่าวหาฆ่าคนตาย เลยไม่ได้รับการปล่อยตัว มีคนมารับรองด้วยบุคคลให้ปล่อยตัวชั่วคราวไม่ได้

      กระบวนการยุติธรรมที่ใช้อยู่ที่เป็นระบบกล่าวหา ไม่ได้ให้ความยุติธรรมที่แท้จริงกับประชาชน ต้องเป็นระบบไต่สวน!! ในอนาคตต้องเป็นจากระบบกล่าวหาเป็นระบบไต่สวน เพราะใช้มาแล้ว 9 ปี ใน ปปช. เห็นได้ชัดว่ากระจ่างชัดกว่าระบบกล่าวหามากมาย เพราะเราสามารถเอาตัวผู้กระทำผิดแล้วโยงใยได้ตลอด เสร็จแล้วสามารถคุ้มครงพยานและกันเป็นพยานได้ในระบบ เป็นผู้ให้เบาะแสก็เป็นพยานได้แล้ว แล้วก็ศาลต้องค้นหาความจริงจนสิ้นสงสัย ไม่ใช่ยกฟ้องเพราะเหตุสงสัย กระบวนการของไทยตอนนี้ ปล่อยตัวผู้กระทำผิดไปเพราะสงสัย เยอะมากก เพราะศาลไม่มีหน้าที่ค้นหาจนกว่าจะสิ้นสงสัย ที่เป็นอย่างนี้เพราะเราไปติด วิอาญา 227 บัญญัติไว้ชัดเจนว่า ถ้ามีเหตุสงสัยตามสมควรว่าจำเลยอาจไม่ใช่คนร้ายที่กระทำผิดในคดีนั้น ก็ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย กฏหมายไปวางหลักแบบนี้ไว้แข็งกว่าแทบทุกประเทศแม้แต่ประเทศใช้ระบบกล่าวหา ไม่ได้ถือเคร่งครัดแบบนั้น แม้แต่ในอังกฤษมีกฏหมายให้อำนาจศาลแสวงหาพยานหลักฐานมาเองได้ ให้ได้ความกระจ่างชัดในทางใดทางนึงแล้วค่อยวินิฉัยชี้ขาด ถ้าผิดจริงก็จะได้ลงโทษได้คุ้มครองผู้เสียหาย แต่ถ้าเขาไม่ไ่ด้ทำความผิดก็ต้องหาหลักฐานยืนยันความบริสุทธิให้ ฟ้องเขาไปแล้วปล่อย กลายเป็นว่าคนที่โดนยกฟ้องด้วยข้อนี้เลยกลายเป็นคนเทาๆ หาพยานหลักฐานไม่ได้มายืนยันความบริสุทธิ

           ระบบกฏหมายของไทยถูกปลูกฝังว่าเอาตามกฏหมายลายลักษณ์อักษร พิจรณาคดีใช้แบบระบบก ล่าวหา ศาลแค่เป็นคนกลาง ไม่ได้เกี่ยวข้องในคดี ให้ลูกความสู้กัน  เอาพยานหลักฐานมาสู้กัน พยานหลักฐานใครดีกว่าให้คนนั้นชนะ มันกลายเป็นว่า มันไม่ใช่ค้นหาความจริงให้ปรากฏเพื่อเป็นฐานไปสู่ประสิทธิ์ประสาทหาความจริง มันเป็นการให้คะแนนนักมวยต๋อยกัน ใครต๋อยเก่งก็ชนะไป มันก็เลยผิดเพี้ยนมาจนบัดดี้

กฏหมายมนุษย์สร้าง เพื่อปูทางสู่จดหมาย 
ทางสายนี้ดีหรือร้าย ต้องดูที่ปลาย... ท้ายสุดทาง
แม้จุดหมายปลายทางจะดีแน่ แต่มากแท้อุปสรรค์ข้อขัดขวาง
ทั้งคดเคี้ยวขรุขระระหว่างทาง ต้องช่วยกันถาง ทางให้เรียบ และปลอดภัย
ทั้งต้องเป็น เส้นทางที่ยุคติธรรม  ทั้งต้องเป็นเส้นทางที่บริสุทธิ นำสู่ยุติธรรมอันสดใส
บำบัดทุกข์ บำรุงสุข ให้ชาวไทย ทำประโยชน์ ลดโทษภัย ให้สังคม

           คือหัวใจของการวางรูปแบบการบริหาร ระบบงานยุติธรรมของประเทศและระบบกฏหมาย ต้องดูที่ปลายท้ายสุดทาง ผลจะยุติ จะช่วยให้เกิความเจริญงอกงาม หรือไปทำลายสังคม  โดยเฉพาะชุมชน กระบวนการยุติธรรมตั้งขึ้นแล้ว บริหารแล้ว บังคับใช้แล้ว ตีความแล้ว จะต้องเกิดผลประโยชน์ส่งมอบความถูกต้องเป็นธรรม ความเจริฐรุ่งเรือน ความดีงามให้แก่สังคม

1 ความคิดเห็น:

  1. Hãy cùng tìm hiểu về loại giày này né. Theo khảo sát cho thấy, có rất nhiều thích mang những chiếc giày màu trắng, tuy nhiên những đôi giày màu trắng hay màu sáng thường rất dễ bị vàng, bị úa nếu như giữ gìn không chu đáo. Vậy khi Giày bị ố vàng phải làm sao?. Một số gợi ý cách chọn giày cho phái mạnh hợp thời trang và rất cá tính. Bạn có biết Giày Sneaker là gì? thuộc loại giày nào chưa. Đây là một trong những loại giày thời trang được phái mạnh rất ưa chuộng hiện nay đấy.

    Hướng dẫn Cách đeo đồng hồ đẹp và quý phái giúp bạn luôn sang trọng trong mọi lúc, mọi nơi.

    Chiều cao khiêm tốn khiến không ít bạn nam ngại ngùng khi giao tiếp, tham gia những bữa tiệc hay những cuộc vui chơi, Bài viết nam chân ngắn nên chọn loại giày nào sẽ mang lại những thông tin hữu ích nhất để bạn có thể lựa chọn được đôi giày thích hợp mà che đi vóc dáng khiêm tốn của mình.

    Đồng hồ là một trong những thương hiệu thời trang được nhiều người sử dụng để phối đồ cũng như quản lí thời gian một cách thích hợp nhất, thương hiệu đồng hồ nổi tiếng trên thế giới có thể bạn quan tâm để lựa chọn cho mình những mặt hàng hiệu.

    ตอบลบ