เริ่มต้นปีใหม่ที่ Marina Bay, Singapore
เริ่มวันแรกของปีในสิงคโปร์ กับทริป Backpacker 5 วัน เอาจริงๆที่คิดทริปนี้กะทันหันมาก ด้วยความที่ปีใหม่ไม่อยากกลับบ้าน คือกลับไปไม่รู้ทำอะไร โทรบอกเสด็จพ่อกับหม่อมไม่กลับน่ะ ไปเที่ยว เสด็จพ่อกับหม่อมแม่บอกเอาดิ ไปเลย เอาก็เอาว่ะ ไปก็ไปจะกลัวอะไร อังกฤษก็ได้แย่ขนาดนั้น คิดว่าเอาตัวรอดได้ แล้วเป็นครั้งแรกในชีวิตต่างประเทศเลยที่ไปตัวคนเดียว สนุกไปอีกแบบ สุดท้ายก็รอดกลับมาได้ ฮาาา แล้วด้วยความที่ปีนี้ไปเที่ยวเยอะมาก เลยอยากจะทำบล็อคแนะนำที่เที่ยว ไปกำลังมาเลย แต่สุดท้ายก็แพ้ความขี้เกียจ เลยล้มเลิกไป แย่
ความพยายาม ทำให้เราประสบความสำเร็จ
สุดท้ายผมก็มีรางวัลที่นับว่าโครตภูมิใจครั้งนึงในชีวิต เพราะได้ลงแข่ง NSC มันเป็นงานประกวดระดับประเทศ (The National Software Contest 2016) ชนะได้ที่ 3 ถือป้ายขึ้นเครื่องกลับบ้านมาอย่างภูมิใจ มันเป็นความรู้สึกดีที่บอกมันถูก ภาพมันไกลมาจากในหัวเรามากอ่ะ ได้ให้สัมภาษณ์ลงนิยสารหลายๆเล่ม ได้ลงหนังสือพิมพ์ เราไม่ได้บอกพ่อแม่ด้วย แต่พ่อแม่เห็นข่าวก็ดีใจไปด้วย ถึงมันไม่ได้ที่ 1 แต่ (ที่ 1 ไม่มีใครได้) อย่างน้อยก็ได้ที่ 3 เว้ย อยากจะตะโกนบอกโลกว่า กรูก็ทำได้ป่าวว่ะ จนตอนนี้ยังมีคนกด Like Fanpage คนทักมาถามอยู่ตลอด รู้สึกดีแบบบอกไม่ถูก
ก่อนที่ทุกคนเห็นผมชนะ มันก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ผมเก็บประสบการณ์จากความผิดหวังมาสองครั้ง สองครั้งเต็มๆครับ ผมไปประกวดสองที่ก่อนหน้า แต่ก็แพ้กลับมา ไปไม่ถึงฝัน ถ้าถามผมตอนนั้นว่าท้อไหม ผมตอบได้เต็มปากว่าท้อมาก มันเหนื่อย มันเสียเวลา เสียเงิน และคงบอกกับตัวเองว่าพอแล้วมั้งชู แต่ก็พยายามคิดบวกว่า เรามาเจอกรรมการไม่ชอบงานเราแค่นั้นเอง ถ้ามีกรรมการคนอื่นก็อาจชอบก็ได้ เราอาจชนะก็ได้ ขอบคุณความคิดนี้ที่ทำให้สู้ต่อ จนได้ส่ง NSC ในที่สุด
ออกไปช่วยเหลือผู้อื่น ถ้าคิดว่าตัวเองไม่มีค่า
หลังจากผมทำ NBTC:ITU Voluntees มาสามปี ตอนกลับมาปีล่าสุด เหมือนมันมีอะไรบางอย่าง ผลักดันให้ทำอะไรสักอย่างที่สร้างความเปลี่ยนแปลงและช่วยเหลือคนอื่นๆใน ม.อ. แล้วช่วงนั้นมีไฟมาก มันเป็นเวลาที่ประจบเหมาะกับที่พี่ๆหน่วยส่งเสริมอาสาสมัคร ม.อ. ที่จะตั้ง กลุ่มอาสาสมัครขึ้นมาใน ม.อ. ผมก็เอาด้วยดิ มาช่วยตั้งกัน ร่วมมือลงแรงกัน สุดท้ายจากตอนนั้นจนถึงวันนี้มันเดินมาได้ 2 ปีแล้ว รู้สึกดีเลยทีเดียว
ตอนที่ผมเป็นประธานอยู่ ได้ทำแคมเปญหนึ่ง ชื่อว่า "ทุก(ข์)ชีวิต มีค่า" ได้ต้นแบบจาก สสส. คีย์หลักเลยคือ ให้ส่งเรื่องที่ตัวเองคิดว่าทุกข์ที่สุด มาชิงรางวัล โดยรางวัลที่ได้ก็จะให้คนเหล่านี้แหล่ะ ไปช่วยเหลือคนอื่น ให้ในสิ่งที่เขามี แต่คนอื่นขาด ผมเชื่อว่ามันทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองมีค่า และจุดไฟบางอย่างในตัวให้เดินต่อได้ และอยากอยู่บนโลกใบนี้ ผมวางแผนทำกับทีมงาน ปั๋นงานกันสองวัน ปล่อย VTR ทำ Website ประชาสัมพันธ์เรียบร้อย แต่มันก็ดันไปไม่ถึงฝั่ง เพราะขาดเงินทุนในการไปต่อ (เรื่องใหญ่มากจริงๆ) แต่เชื่อไหมครับ เรื่องสั้นที่เพื่อนๆใน ม.อ. ส่งเข้ามาเพื่อรับรางวัล ผมอ่านแล้วน้ำตาไหลเลย ผมอินจนผมรู้สึกแย่อย่างบอกไม่ถูก ไม่คิดว่าเราคิดว่าแย่แล้วอ่ะ คนอื่นยังแย่กว่าเราอีก บางคนเขียนมาแต่ไม่ให้ข้อมูลส่วนตัวมา ผมคิดว่าเขาคงแค่อยากระบายมันออกมาจริงๆ ขอโทษที่ผมทำให้มันสำเร็จไม่ได้ ขอโทษจริงๆ
อาจารย์คนนึงที่ผมเคารพมาก เคยบอกไว้ว่า "อาจารย์รู้ว่าคุณมีดีอะไร คุณรู้ว่าคุณมีดีอะไร แต่คุณต้องขายตัวเองให้เป็น คุณอยู่เฉยๆไม่มีใครรู้หลอกว่าคุณเป็นยังไง คุณเก่งยังไง คุณดียังไง"
เลยตัดสินใจ เอาว่ะ ลองขายตัวเองดูบ้าง ผมยังพูดกับพี่ๆเจ้าหน้าที่เลย จะเขียนขายตัวเองยังไงเนี่ย แม่งไม่เคยซะด้วย ฮาาา แต่ก็เขียนไป เลือกส่งด้านวิชาการไป ด้วยอะไรหลายๆอย่าง มหาลัยประเมินแล้วจากที่เขียนไปให้ด้านบำเพ็ญประโยชน์มาแทน แป่ววว แต่ผมก็ดีใจครับ ดีใจมากด้วย แค่ได้ก็ดีใจแล้วไม่ว่าด้านไหน รู้สึกเป็นเกียรติในชีวิตครั้งนึงแล้ว ต้องขอบคุณภาควิชาและคณะที่สนับสนุนผมทุกโครงการที่ผ่านมา และขอบคุณพี่ๆหน่วยส่งเสริมอาสาสมัคร ม.อ. อีกครั้งครับ
เริ่มทำงานจริงๆ สักที
มันอยู่ในช่วงตัดสินใจอะไรหลายอย่างมากน่ะ ตอนแรกยังรู้สึกว่า ทำดีหรือเปล่า เอาก็เอาว่ะ ประสบการณ์ที่หาไม่ได้จากที่ไหน สุดท้ายก็มาได้ทำงานกับ สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunication Union: ITU) เป็นองค์การชำนัญพิเศษของสหประชาชาติ
เรื่องที่ดีที่สุดในชีวิต นอกจากที่ทำงานมีบอสที่ดี เพื่อนร่วมงานที่ดีโครตๆ อยู่กันแบบครอบครัวแล้ว เล่าสามวันคงไม่จบ ที่สำคัญคือ มันเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตที่ให้เราถีบภาษาอังกฤษตัวเองขึ้นเรื่อยๆ มันทำให้คนพบว่า ภาษานี่แหล่ะสำคัญมาก มันคือใบเบิกทางในชีวิตที่จำเป็นโครตๆ ถ้าอยากไปไกล ภาษาต้องดีกว่านี้ ในทุกวันที่ทำงาน เจอแต่เกาหลี ฝรั่ง อินโดนีเซีย บลาๆ มันเลยหนีไปไหนไม่รอดแล้ว ถึงจุดนั้นมันต้องสู้แล้วกับภาษา ทำไงคุยกับเพื่อนร่วมงานรู้เรื่อง ทีมรู้เรื่อง
พอทำงานจริงๆ มันต่างกับฝึกงาน ต่างกับงานที่เคยทำมา เราทำตัวสุขนิยมเอาแต่ใจไม่ได้แล้ว ต้องรู้จักวางตัวกับผู้ใหญ่ ต้องปรับตัวมากขึ้น เป็นคนรับผิดชอบมากๆ และต้องตรงต่อเวลาโครตๆ จำได้จนทุกวันนี้คือ ต้องไปทำงานกับเกาหลีงานนึง ผมไปสาย 10 นาที เกาหลีเขาแท็กซี่ไปเองเลย ไม่รถตู้ไปพร้อมกัน นับตั้งแต่นั้นมันสอนผมมากจริงๆ ถ้าบอสรู้คงโดนว่าแน่ๆ
Work and travel in Busan, Korea
ได้โอกาสไปปูซาน ประเทศเกาหลี ที่ขึ้นชื่อว่า Smart City top of the world ตอนแรกที่รู้ว่าต้องไป นี่ปฏิเสธบอสไม่อยากไปอย่างเดียว เพราะสิ่งที่ผมกลัวที่สุดคือ ภาษา ไม่อยากไปโชว์โง่ใส่ปี๊บ ก็บอกเขาไปตรงๆ บอสไม่ยอมบอกไปเถอะ อยากพัฒนาคนของเราเองด้วย ก็เลยต้องไป TT แต่ก่อนไปบอกเกาหลีที่ไปด้วย ที่เป็นคนจัดงาน ว่า ไอไม่ขอพูดบนเวทีน่ะ ไม่ไหว เขาก็โอเคๆ พอเอาเข้าจริง เผลอไปสบตาบอส บอสเดินเข้ามาพูดว่า ไหนว่ะชู ไม่ขึ้นพูด เรามาไกลน่ะเว้ย มาทำแค่นี้ได้ไง ถ้าไม่ขึ้นพูด ทำสรุปรายงานทั้งหมดน่ะ นั่นไง เหมือนโลกกำลังจะแตก จังหวะนั้นก็เลยต้องพูด ไปขอคิวพูดกลับมา ทำเขาวุ่นวายไปหมด นั่งปั๋น Slide กับมือสั่น เตรียมพูด ก่อนขึ้นเวลา มีคำนึงจากจินนี่กับเตฮา มันเป็นกำลังใจที่ดีก่อนขึ้นเวที เลยชอบมาก I believe you Choo, I believe you can do it สุดท้ายก็ผ่านมาได้ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด
วิ่งแข่งกับตัวเอง
รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ซ้อมวิ่งมาเกือบเดือน สุดท้ายเราก็ทำมันได้สำเร็จตามที่ตั้งใจไว้สักที
- Running Can Change your life
CoE 22 Meeting
รู้สึกดีที่ได้เจอเพื่อนในรุ่นกันอีกครั้ง หลังจากห่างหายไปนาน ได้มาอัพเดทชีวิตกัน พูดคุยกัน เหมือนตอนเรียนด้วยกันเลย
HBD
วัน Public เป็นวันเกิดพอดี ขอมอบของขวัญชิ้นนี้ให้ตัวเองหน่อย
#FirstTimeInJapan
เป้าหมายในปี 2560 หล่ะ
อะไรที่ไม่จบก็ต้องพยายามให้มันจบ
Never give up
...
สอบ toeic 550 up
น้ำหนักต่ำกว่า 70 สักที
...
แต่ ดูจากผ่านๆมา ทำไม่ได้สักข้อ สายสุขนิยมแบบเราชอบเอาแต่ใจ
แต่ก็เอาเถอะครับ ชีวิตคนเราอยู่ได้ด้วยความหวัง
ไม่ว่าจะเรื่องอะไร โดยเฉพาะเรื่องความรัก
หรือว่ามันไม่จริง ?
: )